
ที่มาของภาพ, The Washington Post/Getty Images
ผู้คนจำนวนมากในสหรัฐอเมริการ่วมไว้อาลัยและรำลึกถึงนางรูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ตุลาการผู้สร้างประวัติศาสตร์ ต้นแบบของนักเรียกร้องสิทธิสตรี และผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสมบัติของชาติ ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน ขณะมีอายุ 87 ปี เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (18 ก.ย.)
กินส์เบิร์กกลายเป็นสตรีคนที่สองในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่ได้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุด
เธอต่อสู้ฝ่าฟันกับการเหยียดเพศตลอดช่วงชีวิตการทำงานของเธอ และได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของการเป็นผู้พิพากษา
เธออุทิศตัวเพื่อความเท่าเทียมทางเพศมาโดยตลอด กินส์เบิร์กมักกล่าวติดตลกว่า สหรัฐฯ มีผู้หญิงมากพอที่จะนั่งในคณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดซึ่งทั้งคณะ "มีแค่ 9 คน"
เธอไม่ได้ทำงานลดน้อยลงเลยในช่วงบั้นปลายชีวิต เธอยังแสดงการคัดค้านอย่างแข็งขันในองค์คณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่ค่อนข้างโน้มเอียงไปทางฝ่ายอนุรักษนิยม และปัญหาด้านสุขภาพของเธอก็ทำให้ฝ่ายเสรีนิยมในอเมริกาเสียกำลังสำคัญไป
แม้ว่าจะพยายามเก็บเนื้อเก็บตัวเหมือนกับผู้พิพากษาระดับสูงคนอื่น ๆ แต่กินส์เบิร์กได้กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงโดยไม่ได้ตั้งใจ และยังกลายเป็นบุคคลที่มีผู้ชื่นชอบจำนวนมากในวัฒนธรรมร่วมสมัยด้วย
กินส์เบิร์กเป็นหญิงร่างเล็ก สูงเพียง 150 เซนติเมตร แต่ได้รับการจดจำในฐานะบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในกระบวนการยุติธรรม

ที่มาของภาพ, Alex Wong/Getty Images
จุดเริ่มต้นที่เรียบง่าย
พ่อแม่ของเธอเป็นชาวยิวอพยพในย่านแฟลตบุช (Flatbush) ของเขตบรูกลิน นครนิวยอร์ก
ซีเลีย เบเดอร์ แม่ของเธอ เสียชีวิตจากโรคมะเร็งในวันก่อนที่กินส์เบิร์กจะเรียนจบมัธยมในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) กำลังเลวร้ายถึงขีดสุดในช่วงปี 1933
เธอได้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) ซึ่งเธอได้พบกับ มาร์ติน "มาร์ตี้" กินส์เบิร์ก ผู้ซึ่งกลายเป็นคู่ชีวิตของเธอที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานานเกือบ 6 ทศวรรษ ก่อนที่มาร์ตี้จะเสียชีวิตในปี 2010
ครั้งหนึ่งกินส์เบิร์กเคยกล่าวว่า "การได้พบกับมาร์ตี้ เป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับฉัน" เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า ชายคนนี้ "เป็นชายหนุ่มคนแรกที่สนใจในความคิดความอ่านของเธอ"
ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 1954 หลังจากกินส์เบิร์กเรียนจบได้ไม่นาน ปีต่อมาเธอก็ตั้งครรภ์ลูกสาวคนแรกคือ เจน ในช่วงที่อุ้มท้องอยู่นั้น กินส์เบิร์กถูกลดตำแหน่งในการทำงานที่สำนักงานประกันสังคมแห่งหนึ่ง ซึ่งในช่วงทศวรรษ 1950 การเลือกปฏิบัติต่อสตรีที่ตั้งครรภ์ยังเป็นเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมาย ประสบการณ์ครั้งนั้น ทำให้เธอต้องปกปิดการตั้งครรภ์ครั้งที่สองจนกระทั่งลูกชายคลอดออกมาในปี 1965

ที่มาของภาพ, Bettmann
ในปี 1956 กินส์เบิร์กเป็นหนึ่งในผู้หญิง 9 คนที่ได้รับการตอบรับเข้าเรียนวิทยาลัยกฎหมายของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard Law School) จากผู้ที่ได้รับการตอบรับทั้งหมด 500 คน โดยคณบดีได้ให้นักศึกษาหญิงบอกเขาว่า ทำไมพวกเธอจึงควรได้เข้ามาเรียนในวิทยาลัยนี้แทนที่ผู้ชาย
เมื่อมาร์ตี้ ซึ่งเป็นศิษย์เก่าของวิทยาลัยกฎหมายฮาร์วาร์ดเช่นกัน ได้ทำงานเป็นนักกฎหมายด้านภาษีในนิวยอร์ก กินส์เบิร์กก็ได้โอนย้ายมาเรียนที่วิทยาลัยกฎหมายของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia Law School) ในปีที่ 3 และ 4 ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ร่วมงานกับวารสารกฎหมายของวิทยาลัยทั้งสองแห่ง
"อาจารย์" ของผู้พิพากษาชาย
แม้ว่าจะเรียนจบโดยมีผลการเรียนดีที่สุดในชั้นเรียน แต่กินส์เบิร์กก็ไม่ได้หางานทำได้ง่าย ๆ
"ทั้งนครนิวยอร์ก ไม่มีบริษัทกฎหมายรับฉันเข้าทำงานเลยแม้แต่แห่งเดียว" เธอกล่าว "ฉันมีปัญหาอยู่สามเรื่องคือ ฉันเป็นยิว เป็นผู้หญิง และเป็นแม่คน"
เธอร่วมทำโครงการศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในสวีเดน ก่อนที่จะได้เป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยกฎหมายรัตเกอร์ส (Rutgers Law School) ซึ่งเธอได้สอนนักศึกษาเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงและกฎหมาย

ที่มาของภาพ, Alex Wong/Getty Images
"การเคลื่อนไหวของผู้หญิงเป็นไปอย่างคึกคักในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960" เธอบอกกับ วิทยุสาธารณะแห่งชาติ หรือ NPR "ตอนนั้นฉันเป็นอาจารย์วิทยาลัยกฎหมาย และทุ่มเทกับการเคลื่อนไหวในช่วงนั้น"
ในปี 1971 กินส์เบิร์กยื่นคัดค้านต่อศาลสูงสุดสำเร็จเป็นครั้งแรกในคดีระหว่าง รีดและรีด (Reed v Reed) ซึ่งเป็นคดีที่ศาลพิจารณาว่าผู้ชายจะได้รับอภิสิทธิ์เหนือผู้หญิงให้เป็นผู้จัดการมรดกโดยอัตโนมัติหรือไม่
"ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการตระหนักถึงคุณค่าของผู้หญิงในด้านใหม่ ๆ มากขึ้นในสหรัฐฯ" คำร้องของกินส์เบิร์กระบุ "จากการเคลื่อนไหวของนักเรียกร้องสิทธิสตรีทั้งชายและหญิง ศาลและฝ่ายนิติบัญญัติได้เริ่มยอมรับการอ้างอิงถึงผู้หญิงในฐานะเป็น 'บุคคล' เต็มขั้นที่มีสิทธิในการได้รับการประกันชีวิตและเสรีภาพ และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน"
ศาลสูงสุดเห็นด้วยกับกินส์เบิร์ก ซึ่งนำมสู่การยกเลิกกฎหมายที่เลือกปฏิบัติทางเพศเป็นครั้งแรก

ที่มาของภาพ, Pool/Getty Images
ในปี 1972 กินส์เบิร์กได้ร่วมก่อตั้งโครงการสิทธิสตรี (Women's Rights Project) ของสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (American Civil Liberties Union--ACLU) ในปีเดียวกันนั้น กินส์เบิร์กได้เป็นอาจารย์ประจำวิทยาลัยกฎหมายโคลัมเบียคนแรกที่เป็นผู้หญิง
ต่อมาไม่นานเธอก็ได้เป็นที่ปรึกษาทั่วไปของ ACLU และได้ทำคดีเลือกปฏิบัติทางเพศหลายคดี โดยมี 6 คดีที่ทำให้เธอต้องขึ้นศาลสูงสุด และเธอชนะไป 5 คดี
กินส์เบิร์กเปรียบเทียบบทบาทของตัวเองว่าเป็นเหมือน "ครูอนุบาล" ที่คอยอธิบายเรื่องการเลือกปฏิบัติทางเพศให้แก่ผู้พิพากษาชายทุกคน
เธอมีวิธีการที่แยบยลและมียุทธศาสตร์ เธอสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นวิธีการที่ฉลาดในการยกเลิกกฎหมายและนโยบายเหยียดเพศไปทีละเรื่อง แทนที่จะขอให้ศาลสูงสุดตัดสินให้กฎเกณฑ์ทุกอย่างที่ปฏิบัติต่อชายและหญิงอย่างไม่เท่าเทียมกันเป็นเรื่องผิดกฎหมายทั้งหมดในคราวเดียว
การได้รับการยอมรับจากผู้เข้าฟังการพิจารณาในชั้นศาลซึ่งมีแต่เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ทำให้ลูกความของกินส์เบิร์กมักจะเป็นผู้ชาย ในปี 1975 เธอได้ว่าความให้แก่หนุ่มหม้ายคนหนึ่งที่ถูกปฏิเสธการรับผลประโยชน์ หลังจากภรรยาของเขาเสียชีวิตจากการคลอดลูก

ที่มาของภาพ, SOPA Images/Getty Images
"คดีของเขาเป็นตัวอย่างที่ดีมากที่แสดงให้เห็นว่า การเลือกปฏิบัติทางเพศทำร้ายทุกคนอย่างไร" กินส์เบิร์ก กล่าว
เธอกล่าวในเวลาต่อมาว่า การเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวของผู้หญิงในด้านกฎหมายในช่วงเวลานั้นหรือหลายสิบปีก่อนที่จะได้เข้ามาเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุด ถือเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ
"ฉันโชคดีที่มีชีวิตอยู่ในช่วงทศวรรษ 1960 และมีชีวิตอยู่ต่อมาตลอดทศวรรษ 1970" เธอกล่าว "ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่การร้องขอต่อศาลประสบความสำเร็จ การตัดสินอย่างเท่าเทียมภายใต้กฎหมายจำเป็นต้องให้หน่วยงานของรัฐบาลทุกแห่งเห็นผู้หญิงเป็นบุคคลเฉกเช่นเดียวกับผู้ชาย"
ในปี 1980 กินส์เบิร์กได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ในการทำให้ศาลระดับประเทศมีความหลากหลาย
แม้ว่ากินส์เบิร์กจะถูกมองว่าเป็นฝ่ายเสรีนิยม แต่ในช่วงที่เธอทำงานที่ศาลอุทธรณ์นั้น เธอกลับดูแผ่วลง
เธอได้รับการยอมรับว่าเป็นฝ่ายสายกลาง ที่ลงมติทั้งสนับสนุนและต่อต้านฝ่ายอนุรักษนิยมหลายครั้ง ยกตัวอย่าง การพิจารณาคดีใหม่ของทหารเรือนายหนึ่งที่อ้างว่าเขาถูกปลดประจำการจากกองทัพเรือสหรัฐฯ เพราะเป็นชายรักชาย

ที่มาของภาพ, The Washington Post/Getty Images
ประธานาธิบดีบิล คลินตัน เสนอชื่อเธอให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดในปี 1993 หลังจากมีการกระบวนการสรรหาอยู่เป็นเวลานาน กินส์เบิร์กเป็นผู้หญิงคนที่สองที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดต่อจาก แซนดรา เดย์ โอ'คอนเนอร์ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ในปี 1981
ในบรรดาคดีที่โด่งดังที่สุดของกินส์เบิร์ก คดีแรก ๆ เป็นคดีระหว่าง สหรัฐฯ กับ รัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งส่งผล ให้มีการยกเลิกนโยบายรับแต่ผู้ชายเข้าเรียนของสถาบันการทหารเวอร์จิเนีย (Virginia Military Institute)
กินส์เบิร์กระบุในฝ่ายเสียงข้างมากของศาลสูงสุดว่า เวอร์จิเนีย "รับใช้ลูกชายของรัฐ แต่ไม่มีบทบัญญัติใด ๆ สำหรับลูกสาว นั่นไม่ใช่การคุ้มครองที่เท่าเทียม" เธอระบุว่าไม่มีกฎหมายหรือนโยบายใดที่ควรปฏิเสธผู้หญิง "ในฐานะพลเมืองเต็มขั้น ในการมีโอกาสอยางเท่าเทียมกันในการไขว่คว้า แสวงหา เข้าร่วม และมีส่วนช่วยเหลือสังคม ตามความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคล"

ที่มาของภาพ, Jeffrey Markowitz/Getty Images
ในช่วงที่เธอดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุด ผู้พิพากษากินส์เบิร์กเป็นฝ่ายซ้ายอย่างเห็นได้ชัด เธอทำหน้าที่คอยถ่วงดุลในศาลสูงสุด ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แต่งตั้งให้ นีล กอร์ซัช และ เบรตต์ คาวานอห์ ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุด ทำให้องค์คณะผู้พิพากษาเอนเอียงมาทางฝ่ายสนับสนุนฝ่ายอนุรักษนิยม
กินส์เบิร์กคัดค้านอย่างหนักหน่วง และบางครั้งก็มีการประชดประชัน เธอไม่เคยอ่อนข้อในการวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นเพื่อนร่วมงานของเธอ
ในปี 2013 ในการโต้แย้งคำตัดสินของศาลสูงสุดว่าด้วยการยกเลิกบทบัญญัติที่สำคัญส่วนหนึ่งในรัฐบัญญัติสิทธิในการเลือกตั้งปี 1965 ด้วยคะแนน 5 ต่อ 4 กินส์เบิร์กเขียนไว้ว่า "ความเห็นของศาลแทบจะไม่สามารถถูกเรียกว่า เป็นแบบอย่างของการตัดสินอย่างสายกลางได้เลย"

ที่มาของภาพ, Chip Somodevilla/Getty Images
ในปี 2015 กินส์เบิร์กอยู่ฝ่ายเสียงข้างมากใน 2 คดีสำคัญ ซึ่งเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของฝ่ายอเมริกันหัวก้าวหน้า เธอเป็นหนึ่งในผู้พิพากษาศาลสูงสุด 6 คน ที่เห็นว่าให้คงองค์ประกอบที่สำคัญของรัฐบัญญัติคุ้มครองผู้ป่วยและการดูแลที่จ่ายได้ (The Patient Protection and Affordable Care Act) ปี 2010 ไว้ กฎหมายนี้รู้จักกันในชื่อ "โอบามาแคร์" (Obamacare) ส่วนในคดีที่ 2 เป็นคดีระหว่าง โอเบอร์เกอเฟลล์ และ ฮอดจ์ส (Obergefell v Hodges) เธออยู่ในฝ่ายเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ที่เห็นชอบให้การแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันในทั้ง 50 รัฐ เป็นเรื่องถูกกฎหมาย
"เพื่อนที่ดีที่สุดและผู้สนับสนุนที่ดีที่สุด"
ในช่วงที่อาชีพการงานด้านกฎหมายของกินส์เบิร์กกำลังไปได้สวย ชีวิตคู่ของเธอกับมาร์ตี้ก็ สะท้อนให้เห็นถึงความเท่าเทียมกันทางเพศก่อนหน้าจะถึงยุคที่ชายหญิงเท่าเทียมกัน
ทั้งคู่แบ่งหน้าที่รับผิดชอบในการเลี้ยงลูกและทำงานบ้าน โดยมาร์ตี้รับผิดชอบในการทำกับข้าวเกือบทั้งหมด
"ผมรู้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของการแต่งงานแล้วว่ารูธทำอาหารไม่ค่อยเก่ง และการที่เธอไม่ชอบทำอาหาร ฝีมือของเธอก็คงจะไม่พัฒนาขึ้น" เขากล่าวในปี 1996
ในด้านการทำงาน มาร์ตี้สนับสนุนภรรยาของเขาอย่างเต็มที่ เจ้าหน้าที่ทางการในรัฐบาลคลินตันกล่าวว่า การโน้มน้าวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเขา ส่งผลให้ชื่อของกินส์เบิร์กติดอยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ที่มีโอกาสได้รับการสรรหาให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ในปี 1993
มีรายงานว่า เขาบอกเพื่อนคนหนึ่งว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่เขาเคยทำในชีวิตคือ "การทำให้รูธได้ทำในสิ่งที่เธอได้ทำ"
หลังจากมีการยืนยันว่าเธอได้รับเลือก กินส์เบิร์กแสดงความขอบคุณมาร์ตี้ "ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและผู้สนับสนุนที่ดีที่สุดของฉัน ตั้งแต่สมัยเรายังเป็นวัยรุ่น"

ที่มาของภาพ, Mark Reinstein/Getty Images
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่เขาจะจากไป ขณะที่กำลังต่อสู้กับมะเร็งอยู่ มาร์ตี้ได้เขียนจดหมายถึงภรรยาของเขาว่า นอกจากพ่อแม่และลูก ๆ แล้ว "คุณคือคนเดียวที่ผมรักตลอดชีวิตของผม"
"ผมชื่นชมและรักคุณ แทบจะในวันที่เราพบกันครั้งแรกที่คอร์เนลล์"
เขาเสียชีวิตในเดือน มิ.ย. 2010 หลังจากใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมานาน 56 ปี
เช้าวันต่อมา กินส์เบิร์กได้อยู่ในองค์คณะผู้พิพากษาศาลสูงสุด เพื่ออ่านความเห็นของศาลในวันสุดท้ายของการพิจารณา "เพราะ [มาร์ตี้] คงต้องการแบบนี้" เธอบอกกับนิตยสารนิวยอร์กเกอร์ (New Yorker) ในเวลาต่อมา
"ฉันจะมีชีวิตอยู่"
กินส์เบิร์กเผชิญกับปัญหาสุขภาพครั้งใหญ่จากการป่วยเป็นมะเร็ง 5 ครั้ง
มีรายงานว่า ผู้พิพากษาโอ'คอนเนอร์ ซึ่งเคยเป็นมะเร็งเต้านมในช่วงทศวรรษ 1980 ได้แนะนำกินส์เบิร์กว่า ให้เข้ารับเคมีบำบัดทุก ๆ วันศุกร์ เพื่อที่เธอจะได้ใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ในการติดตามการโต้แย้งด้วยวาจา

ที่มาของภาพ, The Washington Post/Getty Images
วิธีนี้ได้ผล ทำให้กินส์เบิร์กไม่ได้เข้าร่วมการโต้แย้งด้วยวาจาเพราะอาการป่วยเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น
กินส์เบิร์กกล่าวว่า เธอยังทำตามคำแนะนำของมาริลีน ฮอร์น นักร้องโอเปรา ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนในปี 2005 ด้วย
"เธอบอกว่า 'ฉันจะมีชีวิตอยู่'" กินส์เบิร์ก เล่าให้ NPR ฟัง "ไม่ได้บอกว่า 'ฉันหวังว่า ฉันจะมีชีวิตอยู่' หรือ 'ฉันอยากมีชีวิตอยู่' แต่คือ 'ฉันจะมีชีวิตอยู่'"
การที่เธอมีอายุยืนยาวเป็นผลดีต่อฝ่ายเสรีนิยมในอเมริกา แต่การที่ตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดว่างลงอีก 1 ตำแหน่งได้เปิดโอกาสให้ฝ่ายอนุรักษนิยมเสียงข้างมากมีอิทธิพลมากขึ้นไปอีกในสมัยของทรัมป์
"Notorious RBG"
ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเธอ กินส์เบิร์กกลายเป็นสัญลักษณ์ระดับชาติ ส่วนหนึ่งมาจากการแสดงการคัดค้านอย่างไม่ไว้หน้า นักศึกษากฎหมายรุ่นใหม่คนหนึ่งได้สร้างบัญชี Tumblr ให้กินส์เบิร์ก และตั้งชื่อบัญชีว่า Notorious RBG ซึ่งเป็นการล้อตามชื่อนักร้องแร็ปที่ชื่อว่า The Notorious BIG
บัญชี Tumblr นี้ ทำให้นักสิทธิสตรีรุ่นใหม่รู้จักกินส์เบิร์ก และผลักดันให้เธอกลายเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่แตกต่างจากผู้พิพากษาทั่วไป และกลายมาเป็นบุคคลที่กลุ่มคนเหล่านี้ชื่นชอบ
"Notorious RBG" ได้ปรากฏอยู่ในนวนิยายขายดีจำนวนมาก ภาพยนตร์ชีวประวัติที่ได้รับรางวัล และสารคดี รายการแซตเทอร์เดย์ ไนต์ ไลฟ์ (Saturday Night Live) ได้นำเธอไปล้อเลียน และนำภาพเหมือนของเธอไปติดบนแก้วและเสื้อยืด
"มันเกินกว่าที่ฉันจะจินตนาการไปได้ว่า วันหนึ่งฉันจะได้กลายเป็น Notorious RBG" เธอกล่าว "ฉันอายุ 86 ปีแล้วตอนนี้ แต่คนทุกรุ่นทุกวัยยังอยากจะถ่ายรูปกับฉัน"

ที่มาของภาพ, Allison Shelley/Getty Images
แต่ละด้านในชีวิตของเธอ มีการแบ่งแยกออกจากกันและกลายเป็นตำนาน ตั้งแต่การออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงความชื่นชอบใช้ผ้ารัดผม
เมื่อ NPR ถามเธอในปี 2019 ว่า เธอรู้สึกเสียใจต่อปัญหาต่าง ๆ ที่เธอเคยเผชิญในชีวิตหรือไม่ ความเชื่อมั่นอย่างสูงสุดในตัวเองของกินส์เบิร์ก ก็ส่องประกายออกมา
"ฉันคิดว่า ฉันเกิดมาภายใต้ดวงดาวที่ส่องสว่างมาก" เธอตอบ
รายงานโดย ฮอลลี ฮอนดริก และเจสซิกา ลุสเซนฮอป
https://ift.tt/32NCC0p
โลก
Bagikan Berita Ini
0 Response to "รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก: ตุลาการสตรีผู้สร้างประวัติศาสตร์ และต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมทางเพศในสหรัฐฯ - บีบีซีไทย"
Post a Comment